มีคนเข้าใจผิดจำนวนมาก (อาจจะดูมิวสิค หรือละครเยอะ) ว่าถ้ารัก แม้มีทุกข์ก็ต้องทน ทนทุกข์เพราะรักคนนั้น หลายครั้งก็หาเหตุผล(หรือข้ออ้าง) ที่จะให้ตัวเองทนได้นานๆ อันนี้มันเป็นเรื่องยึดติดที่ตัวบุคคลนะ มองเป็นกลางให้เห็น ว่ากำลังถูกกรรมหลอกอยู่ เพราะไม่เข้าใจว่าเราทุกข์เพราะกรรมที่ตนเองทำไว้ จะแก้ต้องแก้ให้ตรงคือ แก้ที่นิสัยที่จะก่อให้เกิดทุกข์ ซึ่งมันมีทั้งมิติรุกและรับ
ทน เพราะรัก หรือหลอกตัวเอง
มิติรับคือ
ใครทำอะไร ไม่ต้องไปโทษคนที่มาทำกับเรา ยิ่งจี๊ดเท่าไหร่แปลว่าเราทำมาอย่างนั้นแหละ เรียนรู้ว่านิสัยเช่นนี้จะไปทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์อย่างนี้ แล้วย้อนกลับมาให้ตัวเองทุกข์อย่างนี้ แล้วก็เปลี่ยนนิสัยตัวเองข้อนี้
มิติรุกคือ
เมื่อมีคนมาทำเช่นนี้ นอกจากให้อภัยแล้ว เราจะตอบกลับเขาอย่างไร อย่างฉลาด เพื่อความพ้นทุกข์ ขอยกตัวอย่างที่พี่ชายเคยแนะนำคนอื่น เช่น มีแฟนขี้หึง นอกจากให้ออภัยเขา เพราะเข้าใจว่าเป็นกรรมแล้ว เราจะตอบเขาอย่างไร
เค้าหึงเพราะอะไร สังเกตดูพฤติกรรมตัวเองในปัจจุบันว่า เราทำตัวอย่างไรให้เค้าหึง คิดมาก หรือเปล่า และอื่นๆ
เดี๋ยวจะหาว่าลำเอียง สลับบ้าง ถ้ามีทุกข์เพราะแฟนเจ้าชู้ นอกจากให้อภัยเพราะเข้าใจว่าเป็นกรรมของตนเองที่ทำมาแล้ว ก็เรียนรู้และรุกด้วยว่า แฟนเจ้าชู้นี่เจ้าชู้เพราะอะไร เพราะเหงา? เพราะเราทำตัวงี่เง่า เป็นเหตุให้เขาอยู่แล้วไม่เป็นสุข เลยอยากหาความสุขหรือเปล่า? ถ้าวีนกลับ ตามจิก ตามหึง จะมีผลให้เค้าเลิกเจ้าชู้ หรือยิ่งแย่หนักเข้าไปอีก? ถ้ามันเป็นนิสัยของอีกฝ่าย เปลี่ยนไม่ได้ เราอยากมีความสุข ไม่อยากวุ่นวายชีวิต เราจะเลิก หรือจะอะไรก็ว่าไป.. ไม่ใช่ต้อง ทน!!
ทั้งหมดที่เปลี่ยนตัวเองนี่ก็ไม่ได้เปลี่ยนด้วยความยึดในตัวบุคคลนะ เปลี่ยนเพราะเราต้องพัฒนา ไม่พัฒนาก็ทุกข์ ก็สร้างกรรมใหม่ ไม่ได้ใช้กรรมเก่า ทุกข์ซ้ำซากเรื่องเดิม มากขึ้นๆ
สุดท้าย ถ้าทำดีแล้ว ไม่ต้องไปยึด กรรมดีที่เราทำ จะจัดสรรเอง ถ้าเค้าไม่ใช่ กรรมก็จะดึงให้ออกจากกัน เพื่อไปรับผลกรรมใหม่ที่ดี
ขอบคุณบทความดีๆ จาก sangtean.com
pic : freeimages.com