ชอบมีน้องๆ ถามเรื่อยว่า โอ๊ย…อยากเปลี่ยนจาก (ความเป็น) เพื่อนมาเป็นแฟน ซะที จะทำไงดี? ช่วยไขข้อข้องใจให้หน่อยดิ เออแฮะ สงสัยคง “อิน” กะเรื่องเพื่อนสนิทและฟังเพลง “ช่างไม่รู้ อะไรบ้างเลย” มากไปอ๊ะป่าวน้อง? ถึงจู่ๆก็อยากเปลี่ยนเพื่อน ให้หันมารักกันฉันแฟนซะแล้ว โถ สถานการณ์น้ำเน่า…เอ๊ย… สถานการณ์เปลี่ยนใจฉับพลันแบบนี้ ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นในโลกหรอก ถ้าย้อนไปดูประวัติศาสตร์ “รักคิกขุ” หยั่งนี้เกิดขึ้นได้ทุกยุคทุกสมัยนั่นแหละ เพราะใกล้ชิดมากจึงพานรักใช่ไหมล้า
แถมบางคนนะ รู้สึกโคตรเบื่อเลยที่มักถูกเจ้าเพื่อน ซึ่งก็คือไอ้คนที่ตัวหลงรักนั่นแหละ แนะนำให้ ใครๆ รู้จักคุณในฐานะแค่เพื่อนเอ๊ง….ต๊าย ตายพูดงี้ได้ไง เอ๊ะ! แต่ถ้าคิดกลับกันนะ เป็นไปได้เรอะที่เจ้า เพื่อนซึ่งถูกรักเข้าเต็มเปาขนาดนั้น เค้าจะไม่รู้ อะไรบ้างเลยจริงๆ อ่ะว่า มีคนรักเค้าเข้าแล้ว?
พูดก็พูด ข้อสงสัยนี้สามารถตอบได้จ้ะว่า ถ้าใครหัวไวและรู้จักสังเกตสังกา.. ไม่ใช่สังเกตตีนกานะ เค้าน่าจะรู้อยู่นิดๆ นะว่า มีซัมติง สเปเชียล หรือบางอย่างที่พิเศษเกิดขึ้นแหงเลย
ทำยังไง? ถ้าไม่อยากเป็นแค่เพื่อน
แต่ถ้าจะให้เค้ามัวสงสัยแล้วเดาเอาเองโดยที่คุณไม่ใบ้, บอกเป็นนัยๆ หรือบอกว่า รักมันไปซะเลย แล้วใครจะกล้าขี้ตู่ละว่า มีคนมารักเราด้วยแฮะ
ขืนเดาส่งเดชหรือมั่วคิดไปเอง ถ้าเกิดเดาผิดก็หน้าแหก เสียหายยิ่งกว่าอกหักซะอีกนะยะ
เพราะงี้ ถ้ายังไม่ชัวร์ก็อย่าไปตู่เข้าข้างตัวเอง ส่วนคนที่หลงรักเพื่อนแบบไม่ใช่เพื่อน (เพราะอยากเป็นมากกว่าเพื่อน) ก็บอกให้อีกฝ่ายเค้ารู้ซะเหอะ ดีไม่ดี ถ้าเค้าเล่นด้วยก็แจ๋ว แต่ถ้าเค้าไม่เอาด้วย ก็ไม่ต้องคิดสั้นนะเฟ้ย แค่นับตั้งแต่วันนั้นก็อย่าลืมดื่มน้ำใบบัวบก วันละแก้วแก้ช้ำในละกัน ส่วนความเป็นเพื่อนก็ใช่ว่าจะจบตามไปด้วยซะหน่อย แม้ตอนแรกที่เค้าบอกปัดเรา อาจทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกพะอืดพะอมไปบ้าง ยามเจอหน้ากัน แต่เดี๋ยวอีกหน่อยก็ชินไปเองแหละว้า
ก็เฮ้ย นี่เราไปบอกรักนะ ไม่ได้กะจะสาดน้ำกรดเค้าซะหน่อย รับรองเค้าไม่เกลียดคุณหรอก แต่ถ้าคุณเขิน ซึ่งก็น่าอยู่หรอก เขินก็เขินดิ “เวลา” จะช่วยให้หายเขินไปเองแหละ ชาตินี้น่ะ คุณยังมีโอกาสได้เขินอีกเยอะ เพราะฉะนั้นจงทำให้เป็นเรื่องปกติซะเถอะ
“อายเพราะรัก” ถึงไงก็ยังดีกว่าอายเพราะไปทำชั่ว หรือไปทำบาป ทำกรรม จริงม้า
ดังนั้น ถ้าจะอายเพราะรักเซี้ยมั่ง แล้วจะหวั่นใจ ไปไยล่ะตัว
เอางี้นะ หากเมื่อไหร่ เบื่ออย่างสาหัสสากรรจ์ที่จะได้ยินเพื่อนที่คุณแอบรัก พูดคำว่า มาเป็นเพื่อนกันเถอะ ส่วนในใจคุณกลับคิดว่า แล้วใครอยากเป็นเพื่อนกะเอ็งวะล่ะก็ ก็มีวิธีทำให้เค้ารู้สึกอึ้งทึ่งงง ว่าเราไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนซะหน่อย แต่อยากเป็นแฟนต่างหาก โอ๊ยจะซื่อบื้อไปถึงไหน (แต่อย่าไปพูดกะเค้าแบบนี้ล่ะ นี่รู้กันเองก็พอ) ดังนี้…
1. แกล้งทำเป็นอยู่ฝ่ายตรงข้าม ด้านความคิดเห็นนะ ไม่ใช่ให้แสดงตัวเป็นศัตรู ด้วยการหาเหตุผลมาคัดง้างในการแสดงความคิดเห็นของเค้าให้ บ่อยกว่าที่เคย
ไม่ใช่พอรักแล้ว ก็เออออห่อหมกไปซะทุกความเห็นของเพื่อนซี้แสนรัก เพราะเกรงว่า เดี๋ยวเค้าจะพานคิดไปว่า นังนี่…เอ๊ย…ยัยนี่ใช่เพื่อนรักแน่รึน่ะซี เอ๊าก็ พฤติกรรมขัดคอเนี่ย คนไหนเจอเพื่อนสนิททำงี้แล้วจะหมายความว่า รักเข้าไปได้ไงยะ เพราะส่วนใหญ่ ถ้ารักมักตามใจและเห็นพ้องต้องกันไม่ใช่เรอะ?
ซึ่งสงสัยได้ถูกต้องแล้วคร้าบ ท่านผู้ชม ถ้ารักใคร เค้าก็ต้องมาเป็นที่หนึ่งของใจเราอยู่แล้ว
แต่ให้ทำงี้ (แสดงความเห็นแตกต่างจากเค้า ซะมั่ง) เพราะเป็นเทคนิคเรียกร้องความสนใจไง ทว่าการสรรหาอะไรก็ตามมาคัดง้างกะเค้าน่ะ ไม่ใช่ให้เถียงซะทุกเรื่อง ไม่ต้องเรียกร้องความสนใจขนาดน้าน แค่ด้านที่คุณเห็นว่าเค้าผิดอย่างจั๋งหนับ แล้วทำตัวเป็นกระทิงวิ่งชนก็พอ หวังว่าเค้าคงตาสว่างสักที
2. ให้ภาษากายบอกรัก แทนละกัน
บางทีการเป็นเพื่อนและความสนิทชิดเชื้อที่มีต่อกัน อาจทำให้มองข้ามความกุ๊กกิ๊กระหว่างกันและกันไปได้ ฉะนั้น เวลาที่คุณมีเรื่องต้องพูดกับเค้า จากแต่ก่อนที่สามารถพูดขึ้นมาได้ลอยๆ โดยไม่ต้องมองหน้าก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้นะ ให้เปลี่ยนมาหยุดจ้องมองดวงตาเค้าสักหน่อย ก่อนจะคุยอะไรก็คุยไป อ้อ… แล้วเผื่อยืนอยู่ห่างกัน ก็อย่าลืมหันไปมองเค้าบ่อยๆ ด้วย ไม่งั้นเตือนให้เค้าดูรายการทีวีที่มีฉากโรแมนติกทุกครั้งที่นั่งดูอยู่ด้วยกันสิ ถ้าเป็นหนังรักๆยิ่งดี หากทำถึงขนาดนี้แล้วยังไม่สงสัยอะไรเลย ก็เป็นพระอิฐพระปูนเกินไปล่ะ
3. หาทางออกให้กับปัญหาของเค้าบ่อยๆ
ถ้าเค้านำปัญหาส่วนตัวมาขอคำปรึกษา คุณควรสนใจฟังและช่วยชี้ทางออกให้อย่างกระตือรือร้น ถ้าเค้าสำนึกได้ก็จะรู้เองแหละว่า เพื่อนซี้คนนี้ห่วงใยเค้าขนาดไหน นี่หากไม่รักสุดกู่ ก็คงไม่ทำใช่ป่าว
4. คุยกับเพื่อนที่ยูรักให้มาก สนิทชิดเชื้อกว่าเดิมยิ่งขึ้นเข้าไว้
เค้าจะได้ซึ้งว่าคุณคือนางฟ้าของเค้าไง แต่โอมเพี้ยง หวังว่าเค้าคงไม่หาว่าไปเซ้าซี้มากไป ละกันนะ ต้องตรองด้วยว่า เค้าเป็นคนขี้รำคาญหรือเปล่า? คุณเป็นเพื่อนก็ต้องรู้ซี
ยกตัวอย่างเรื่องหวานๆ ให้ฟังมะ
ลินดา วัย 30 เล่าว่า “ตอนย้ายไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยไกลบ้านเกิด วันๆ ฉันแทบไม่ได้พูดกับใครเลย ยกเว้นเดวิด เพราะพยายามชวนฉันคุย เราเลยซี้กัน แต่ตอนเรียนปีสุดท้าย ฉันว้าวุ่นใจ มาก เมื่อคิดว่าต้องกลับบ้านและจากเพื่อนที่แสนดีคนนี้ไป
ฉันเลยรู้ตัวว่าจะบอกเขาว่ารักดีมั้ย เผื่อเขาขนพองสยองเกล้า เราทั้งคู่จะได้มีเวลาปรับตัวก่อนเจอหน้า กันอีก ฉันรวบรวมความกล้าพูดออกไป แล้วก็รอให้เขาปฏิเสธ แต่ความรู้สึกของเรากลับตรงกัน พอเรียนจบสักพัก เขาก็ขอฉันแต่งงาน”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ถ้าหากรักนี้ ไม่บอกไม่พูดไม่กล่าว แล้วเค้าจะรู้ว่ารักหรือเปล่า? อาจไม่แน่ใจ” รักก็บอกเค้าสิว่ารัก จะอมพะนำรอให้เค้าจับเรดาร์ความรักเอาเองรึไง?